ชะพลู
ยาปรับธาตุ ควบคุมน้ำตาลในเลือด
สวัสดีค่ะ ฉบับนี้ขอเริ่มต้นด้วยข่าวประชาสัมพันธ์กันก่อนก็แล้วกันนะคะ ขอเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านเข้าร่วมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่3 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพคเมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 3 กันยายน 2549 นี้ค่ะ ในงานนอกจากอภัยภูเบศรซึ่งจะร่วมงานอย่างแน่นอนแล้ว ก็ยังมีหน่วยงานราชการและผู้ผลิตสมุนไพรไปร่วมงานกันมากมาย รับรองค่ะว่าถ้าท่านไปงานนี้ไม่ผิดหว้งอย่างแน่นอน ส่วนตัวผู้เขียนก็ไปแน่นอนค่ะ ถ้าอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลสมุนไพรก็เรียนเชิญได้ที่บูธอภัยภูเบศร ส่วนท่านผู้อ่านที่ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ผู้เขียนจะเก็บภาพงานมาฝากในฉบับเดือนตุลาคมค่ะ
ส่วนฉบับนี้ขอทำหน้าที่ก่อนนะคะ มีผู้อ่านท่านหนึ่งโทรมาถามผู้เขียนถึงสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาเบาหวาน และติงผู้เขียนว่าเขียนเชียร์แต่มะระขี้นก แล้วตัวอื่นหล่ะได้ผลหรือไม่ ผู้เขียนก็ไม่ได้เชียร์อะไรทั้งสิ้นค่ะ เพียงแต่ให้ข้อมูลตามเอกสารที่มีการตีพิมพ์และประสบการณ์ของผู้เขียนเองเท่านั้น ดังนั้นในฉบับนี้เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานมีทางเลือกมากขึ้น จึงใคร่ขอแนะนำชะพลู ซึ่งเป็นสมุนไพรอีกชนิดของอภัยภูเบศรที่สามารถนำมาใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
ชะพลูมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Piper sarmentosum Roxb. ชะพลูเป็นไม้ล้มลุก แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือไม้เถาและไม้เลื้อย ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหัวใจ หน้าใบสีเขียวเขัมลื่นเป็นมัน หลังใบสากมีสีเขียวหม่น ชะพลู บางคนเรียกว่า ช้าพลู ซึ่งในแต่ละพื้นที่ ก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น ผักอีเลิด (ใชัเรียกช้าพลูชนิดเถา) ผักอีไร (ใช้เรียกช้าพลูชนิดเลื้อย) หรือ นมวา เป็นต้น ชะพลูชอบขึ้นตามที่ชื้นและที่ลุ่มต่ำ บ้างก็อยู่ข้างลำธาร บ้างก็อยู่ในป้าดิบแล้งและก็มีตามบ้านเรือนที่ปลูกพืชผักสวนครัวกันในประเทศไทยนั้นก็ปลูกกันแทบทุกภาคเลยก็ว่าได้
ชะพลูมีประโยชน์ทั้งทางยาและทางอาหาร ในตำรายาโบราณมีคำกล่าวว่า "รากชะพลูแก้คูถเสมหะ (ขับเสมหะออกทางอุจจาระ) ต้นแก้อุระเสมหะ (เสมหะในทรวงอก) ลูกขับศอเสมหะ (เสมหะในลำคอ) ใบทำให้เสมหะงวดและแห้งเข้า แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ" ส่วนวิธีการรับประทานก็จำง่ายๆ โบราณท่านว่าให้ต้ม 3 เอา 1 หมายถึงใส่น้ำ 3 ส่วน ต้มใบ ราก หรือ ทั้งต้นของชะพลู ต้มจนเหลือน้ำ 1 ส่วน อย่าใช้ไฟแรงเกินไป ต้องต้มให้ยาค่อยๆเดือด แล้วจึงนำมารับประทาน 1/2 - 1 แก้วก่อนอาหาร 3 เวลา ก็จะช่วยขับเสมหะ แก้จุกเสียดได้
ชะพลูยังนำมาใช้เป็นยาปรับธาตุในร่างกายได้ด้วย ซึ่งคนโบราณท่านมิได้ศึกษาปฎิกิริยาต่างๆ ในร่างกายออกมาเหมือนกับหมอแผนปัจจุบัน แต่ท่านสังเกตเอาจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แล้วจึงนำสมุนไพรมาปรุงแต่งรับประทานในรูปของยาและอาหารเพื่อแก้อาการเหล่านั้น จนสรุปเป็นทฤษฎีการปรับธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ โดยนำสมุนไพร 9 ชนิด ได้แก่ ช้าพลู ดีปลี สะค้าน เจตมูลเพลิงแดง ขิง พริกไทย สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม มาปรุงเป็นยาปรับธาตุทั้ง 4 ใช้รักษา เมื่อธาตุนั้นๆ มีอาการพิการ (ผิดปกติ) กำเริบ (มากเกินไป) หรือหย่อน (น้อยไปหรือไม่สมบูรณ์)
นอกจากประโยชน์ทางยาแล้ว ชะพลูยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย ฉบับหน้าจะมาเล่าให้ฟังถึงคุณค่าทางอาหาร รวมถึงงานวิจัยของชะพลูที่มีอยู่ในขณะนี้ สวัสดีค่ะ
ชะพลู อาหารผู้ป่วยเบาหวาน
จริงๆแล้วจากการทบทวนข้อมูลของชะพลู ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างจะเห็นว่าชะพลูเหมาะที่จะนำมาปรุงเป็นอาหารมากกว่ายา เพราะโดยตัวของชะพลูเองแล้วจะช่วยปรับธาตุของร่างกายให้ได้สมดุลดังนั้นการใช้ประโยชน์ในแง่ของการส่งเสริมสุขภาพจะมีประโยชน์มากกว่าการซ่อมสุขภาพเมื่อป่วยแล้ว แต่อีกมุมหนึ่งตัวชะพลูเองก็มีคุณค่าทางอาหารสูงอย่างคาดไม่ถึง
ในใบชะพลู 100 กรัม ให้พลังงานกับร่างกาย 101 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
-เส้นใย 4.6 กรัม
-แคลเซียม 601 มิลลิกรัม
-ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
-เหล็ก 7.6 มิลลิกรัม
-วิตามินบีหนึ่ง 0.13 มิลลิกรัม
-วิตามินบีสอง 0.11 มิลลิกรัม
-ไนอาซิน 3.4 มิลลิกรัม
-วิตามินซี 22 มิลลิกรัม
-โปรตีน 5.4 กรัม
-คาร์โบไฮเดรต 14.2 กรัม
-และให้เบต้า-แคโรทีนสูงถึง 414.45 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
ภูมิปัญญาไทยแสนฉลาด โดยเฉพาะเรื่องการปรุงอาหาร ชะพลูมักถูกนำมาปรุงอาหารที่มีส่วนประกอบของกระทิ เพราะเบต้า-แคโรทีนในชะพลูต้องอาศัยไขมันในกระทิช่วยในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นโบราณยังเชื่อว่าชะพลูแก้พิษหอยได้ จึงมีแกงหอยใส่ใบชะพลูขึ้น
ในส่วนของงานวิจัยเป็นการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยศึกษาฤทธิ์การลดน้ำตาลในเลือดของสารสกัดชะพลู (ใช้น้ำสกัดเอาสารสำคัญของชะพลูทั้งต้น) โดยใช้หนูทดลอง ผู้ทดลองแบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม หนูกลุ่มแรกถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน หนูกลุ่มที่สองเป็นหนูปกติ แล้วฉีดสารสกัดของชะพลูเข้าไปในหนูทั้งสองกลุ่ม วัดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อฉีดเข้าไปครั้งแรกพบว่าสารสกัดชะพลูในขนาด 0.125 และ 0.25 กรัมต่อน้ำหนักของหนู 1 กิโลกรัม ไม่ช่วยลดระดับน้ำตาลของหนูกลุ่มที่เป็นเบาหวาน แต่เมื่อให้สารสกัดต่อไปอีก 7 วัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของหนูกลุ่มที่เป็นเบาหวานลดลง ซึ่งผู้ทดลองก็ได้นำยาแผนปัจจุบัน คือ ไกลเบนคลาไมด์ (Glibenclamide) มาทดสอบกับหนูทั้งสองกลุ่มเช่นกัน พบว่าได้ผลเช่นเดียวกับสารสกัดชะพลู
ใสส่วนตัวผู้เขียนจึงอยากแนะนำผู้ที่ต้องการใช้ชะพลูช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดว่า ต้องใช้ติดต่อกันจึงจะเห็นผล อีกทั้งการรับประทานในรูปของชาชงหรือปรุงเป็นอาหารจะได้ประโยชน์มากกว่า ไม่จำเป็นต้องไปหาผลิตภัณฑ์แพงๆ มาใช้ ปลูกชะพลูเองที่บ้านก็ได้ ขึ้นง่ายได้ประโยชน์คุ้มค่า
จากคอลัมภ์ "พืชใกล้ตัว" โดย ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 4 ฉบับที่ 39 ประจำเดือน กันยายน 2549
สำหรับท่านที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถฝากคำถามไว้ที่ Webboard (สอบถาม) หรือโทรสอบถามได้ที่ 01-9272862, 09-1583525 หรือ ฝาก e-mail address ของท่านตาม mail ที่อยู่ด้านล่าง