ใบหนาด อบ อาบ เพื่อแม่และทารกหลังคลอด
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Blumea balsamifera DC.
วันหนึ่งไปหาหมอยาที่อุบล เห็นใบหนาดปลูกเต็มหน้าบ้านหมอยา และในหลายๆบ้านแถวนั้น จึงรู้ว่าใบหนาดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครัวเรือนในอิสาน เป็นเครื่องหอมและเป็นยาหลายคนคงรู้จักใบหนาดสำหรับกันผีแม่นาค แต่คนทางอิสานรู้จักกันในฐานะยาแก้ผดผื่นคันและใช้ต้มให้แม่หลังคลอดและทารกอาบเชื่อว่าทำให้ผิวดี ป้องกันโรคผิวหนังของทั้งแม่และลูก ใบหนาดยังเป็นยาที่ใช้ต้มเอาไอรมแก้วิงเวียนแก้ปวดหัว แก้หวัดบรรเทาอาการไซนัส เป็นอโรมาเทอราปีส์แบบไทยๆนั่นเอง
นอกจากนี้ใบหนาดยังนำมาต้มกินเป็นยาขับนิ่ว ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต แก้หวัด แก้ไอ แก้ปวดท้อง ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ทุกภาคในเมืองไทยนิยมนำใบหนาดมาหั่นเป็นเส้น ตากพอหมาดใช้มวนสูบกับยาฉุน รักษาริดสีดวงจมูก ดังนั้นคนไทยโบราณจึงใช้อุบายว่าใบหนาดกันผี เพื่อให้ลูกหลานปลูกติดบ้านไว้เนื่องจากการที่ใบหนาดมีสรรพคุณดีๆ มากมายตามที่กล่าวมานั่นเอง ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรใช้ใบหนาดเป็นส่วนประกอบในยาอบสมุนไพรและมีต้นปลูกให้ชมที่สวนสมุนไพรหลังตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเยี่ยมชมได้นะค่ะ
จากคอลัมภ์ "เก็บป่ามาฝากเมือง" โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 4 ฉบับที่ 40 ประจำเดือน ตุลาคม 2549
กินเพื่อสุขภาพ
1. กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ
ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำ
ให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด
ที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหาย
ไปได้
2. เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ
จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การ
กินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3. มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ
จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณใน
การควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้
อีกด้วย
4.ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริงหรือ
ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริม
ให้สมองหลั่งสาร
5. การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ
ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยว
หมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้
จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพัก
หนึ่ง
6. การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ
จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึก
ผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น
7.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ
จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามิน
ซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียด
ลงได้ดีออกมาด้วย
8. การกินช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ
จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้น
ประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรัง
อย่างได้ผล
9. การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ
จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่
สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือด
คนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็น
อยู่มากอีกด้วย
10. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือ
จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น
เพกา ผักพื้นบ้านต้านโรค
ชื่อวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum(L.) Vent
ฝักอ่อนของเพกาเป็นผักพื้นบ้านชนิดหนึ่ง ยังพอหาได้ตลาดสดในหลายๆจังหวัด ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากเพกาสามารถขึ้นได้ตามที่รกร้างทั่วไป สามารถเจริญได้ดีในดินแทบทุกชนิด ฝักอ่อนของเพกาที่ยังไม่แข็ง มีรสขมร้อน นิยมรับประทานเป็นผัก แต่อาจจะต้องนำไปเผาไฟให้ไหม้เกรียม แล้วขูดเอาผิวที่ไหม้ไฟออก นำไปหั่นเป็นฝอยแล้วคั้นน้ำทิ้งหลายๆครั้ง หลังจากนั้นนำไปปรุงเป็นอาหาร เช่นผัดหรือแกง หรืออาจรับประทาน เป็นผักแกล้มลาบ ก้อย ยำ บางรายก็รับประทานเป็นผักสดๆ หรือลวกกินกับน้ำพริก ยอดอ่อนและดอกเพกานั้น สามารถรับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้เช่นเดียวกัน ส่วนฝักที่แก่แล้วของเพกาจะแตกออกแล้วมีเมล็ดที่มีปีกบางๆสีขาว ปลิวลอยล่องไปตามลมสวยงามมาก เมล็ดของเพกาเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่อยู่ในน้ำจับเลี้ยง เป็นยาเย็น มีฤทธิ์แก้ไอ ขับเสมหะ
เพกา จัดเป็นสมุนไพรที่หมอยาพื้นบ้านใช้มากชนิดหนึ่ง ทั้งในส่วนของใบ เปลือก ราก
-ใบของเพกาเป็นยาเย็น เป็นส่วนประกอบสำคัญของยาเขียว โดยใบมีสรรพคุณฝาดขม ต้มน้ำดื่ม แก้ปวดข้อ แก้ปวดท้อง เจริญอาหาร
-รากมีรสฝาดขม เป็นยาแก้ท้องร่วง ฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อักเสบฟกบวม
-เปลือกต้นรสขมเย็น เป็นยาฝาดสมาน ดับพิษโลหิต ดับพิษกาฬ แก้น้ำเหลืองเสีย ป่นเป็นผงหรือชงกินกับน้ำ ใช้ขับเหงื่อ แก้ไขข้ออักเสบเฉียบเฉียบพลัน เป็นยาขมเจริญอาหาร ต้มกินแก้เสมหะจุกคอ ขับเสมหะ ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต แก้บิด แก้จุกเสียด ฝนกับสุรากวาดปากเด็ก แก้พิษซาง แก้ละออง ใช้ทาแก้ปวดฝี แก้ฟกบวม ผงเปลือกผสมขมิ้นชันเป็นเป็นยาแก้ปวดหลังของม้า
แต่การใช้ประโยชน์ของฝักเพกาอ่อนบางอย่างไม่ค่อยได้รับการเปิดเผยมากนัก คือ มีหมอยาพื้นบ้านเล่าว่า เพกานั้นเป็นยาโป๊วที่ไม่เป็นสองรองใคร สามารถใช้ได้ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ซึ่งตามศาสตร์ตะวันออกแล้วก็มีความเป็นไปได้ เพราะเพกามีรสขมร้อน และยังมีรายงานทางเภสัชวิทยาพบว่าเพกามีฤทธิ์ลด คอเลสเตอรอล ซึ่งการที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลนั้นก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น อะไรๆมันก็ดีขึ้นเอง
และรายงานการศึกษาที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งคือ มีการวิจัยผักพื้นบ้านไทย ของคุณเกศินี ตระกูลทิวากร จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อที่จะดูว่าผักพื้นบ้านชนิดใดบ้าง ที่มีคุณสมบัติในการต้าน การก่อมะเร็งจากผักทั้งหมด 48 ชนิด เพกาเป็นผัก 1 ใน 4 ชนิดที่มีฤทธิ์ต้านการก่อมะเร็งสูงสุด ซึ่งไม่น่าเป็นที่แปลกใจเลย เนื่องจากในฝักเพกามีวิตามินซีสูงมาก สูงถึง 484 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ในขณะที่มะนาว (แหล่งวิตามินซีที่ฝรั่งรู้จัก) มีเพียง 20 มิลลิกรัม นอกจากนี้ฝักเพกายังมีวิตามินเอ 8221 มิลลิกรัมใน 100 กรัมพอๆกับตำลึงทีเดียว
ถ้าเรามองหาพืชผักที่ต่อต้านอนุมูลอิสระที่คอยทำลายเซลล์ของร่างกาย ทำให้เซลล์เกิดความไม่สมดุลย์จนเกิดกลายเป็นมะเร็ง จนเกิดการแก่ชราก่อนกำหนด ดูเหมือนเพกาจะเป็นสมุนไพรที่เหมาะที่สุดที่จะปกป้องเซลล์ของคนเราจากอนุมูลอิสระเพราะมีทั้งวิตามินเอและวิตามินซีในปริมาณสูง ซึ่งวิตามินทั้งสองจะทำงานร่วมกับ วิตามินอี ที่มีในรำข้าว ในข้าวกล้อง ส่วนเซเลเนียม มีมากในข้าว กระเทียม หอมใหญ่ หอม มะเขือเทศ จมูกข้าวสาลี และอาหารทะเล ดังนั้นถ้ากินยำฝักเพกา (อาหารเหนือ) กับข้าวกล้องก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ
ยำฝักเพกา มีส่วนประกอบดังนี้ ฝักเพกา 1 ฝัก พริกสด 3 เม็ด ขิง 3 ซ.ม. ข่า 1 แว่น กระเทียม 4 กลีบ ปลาร้า 1 ช้อนโต๊ะ นำฝักเพกามาเผาไฟให้สุก ห่อด้วยใบตอง ใช้เวลาเผาประมาณ 15 นาที ขูดเอาผิวออก หั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ โขลกพริกขิงข่า กระเทียม ให้ละเอียด ปลาร้า ต้มสุกเหลือน้ำประมาณ 5-6 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำเครื่องยำและเพกามาคลุกให้เข้ากันนำยำ และนำยำเพกามารับประทานกับข้าวกล้อง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องกินอาหารเสริมต้านมะเร็งตัวไหนๆอีกแล้ว
ขมิ้นชัน
ใช้กินเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปลือก หรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การกิน
ชะพลู
ยาปรับธาตุ ควบคุมน้ำตาลในเลือด
สวัสดีค่ะ ฉบับนี้ขอเริ่มต้นด้วยข่าวประชาสัมพันธ์กันก่อนก็แล้วกันนะคะ ขอเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านเข้าร่วมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่3 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพคเมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 3 กันยายน 2549 นี้ค่ะ ในงานนอกจากอภัยภูเบศรซึ่งจะร่วมงานอย่างแน่นอนแล้ว ก็ยังมีหน่วยงานราชการและผู้ผลิตสมุนไพรไปร่วมงานกันมากมาย รับรองค่ะว่าถ้าท่านไปงานนี้ไม่ผิดหว้งอย่างแน่นอน ส่วนตัวผู้เขียนก็ไปแน่นอนค่ะ ถ้าอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลสมุนไพรก็เรียนเชิญได้ที่บูธอภัยภูเบศร ส่วนท่านผู้อ่านที่ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ผู้เขียนจะเก็บภาพงานมาฝากในฉบับเดือนตุลาคมค่ะ
ส่วนฉบับนี้ขอทำหน้าที่ก่อนนะคะ มีผู้อ่านท่านหนึ่งโทรมาถามผู้เขียนถึงสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาเบาหวาน และติงผู้เขียนว่าเขียนเชียร์แต่มะระขี้นก แล้วตัวอื่นหล่ะได้ผลหรือไม่ ผู้เขียนก็ไม่ได้เชียร์อะไรทั้งสิ้นค่ะ เพียงแต่ให้ข้อมูลตามเอกสารที่มีการตีพิมพ์และประสบการณ์ของผู้เขียนเองเท่านั้น ดังนั้นในฉบับนี้เพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานมีทางเลือกมากขึ้น จึงใคร่ขอแนะนำชะพลู ซึ่งเป็นสมุนไพรอีกชนิดของอภัยภูเบศรที่สามารถนำมาใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
ชะพลูมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Piper sarmentosum Roxb. ชะพลูเป็นไม้ล้มลุก แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือไม้เถาและไม้เลื้อย ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหัวใจ หน้าใบสีเขียวเขัมลื่นเป็นมัน หลังใบสากมีสีเขียวหม่น ชะพลู บางคนเรียกว่า ช้าพลู ซึ่งในแต่ละพื้นที่ ก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น ผักอีเลิด (ใชัเรียกช้าพลูชนิดเถา) ผักอีไร (ใช้เรียกช้าพลูชนิดเลื้อย) หรือ นมวา เป็นต้น ชะพลูชอบขึ้นตามที่ชื้นและที่ลุ่มต่ำ บ้างก็อยู่ข้างลำธาร บ้างก็อยู่ในป้าดิบแล้งและก็มีตามบ้านเรือนที่ปลูกพืชผักสวนครัวกันในประเทศไทยนั้นก็ปลูกกันแทบทุกภาคเลยก็ว่าได้
ชะพลูมีประโยชน์ทั้งทางยาและทางอาหาร ในตำรายาโบราณมีคำกล่าวว่า "รากชะพลูแก้คูถเสมหะ (ขับเสมหะออกทางอุจจาระ) ต้นแก้อุระเสมหะ (เสมหะในทรวงอก) ลูกขับศอเสมหะ (เสมหะในลำคอ) ใบทำให้เสมหะงวดและแห้งเข้า แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ" ส่วนวิธีการรับประทานก็จำง่ายๆ โบราณท่านว่าให้ต้ม 3 เอา 1 หมายถึงใส่น้ำ 3 ส่วน ต้มใบ ราก หรือ ทั้งต้นของชะพลู ต้มจนเหลือน้ำ 1 ส่วน อย่าใช้ไฟแรงเกินไป ต้องต้มให้ยาค่อยๆเดือด แล้วจึงนำมารับประทาน 1/2 - 1 แก้วก่อนอาหาร 3 เวลา ก็จะช่วยขับเสมหะ แก้จุกเสียดได้
ชะพลูยังนำมาใช้เป็นยาปรับธาตุในร่างกายได้ด้วย ซึ่งคนโบราณท่านมิได้ศึกษาปฎิกิริยาต่างๆ ในร่างกายออกมาเหมือนกับหมอแผนปัจจุบัน แต่ท่านสังเกตเอาจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แล้วจึงนำสมุนไพรมาปรุงแต่งรับประทานในรูปของยาและอาหารเพื่อแก้อาการเหล่านั้น จนสรุปเป็นทฤษฎีการปรับธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ โดยนำสมุนไพร 9 ชนิด ได้แก่ ช้าพลู ดีปลี สะค้าน เจตมูลเพลิงแดง ขิง พริกไทย สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม มาปรุงเป็นยาปรับธาตุทั้ง 4 ใช้รักษา เมื่อธาตุนั้นๆ มีอาการพิการ (ผิดปกติ) กำเริบ (มากเกินไป) หรือหย่อน (น้อยไปหรือไม่สมบูรณ์)
นอกจากประโยชน์ทางยาแล้ว ชะพลูยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย ฉบับหน้าจะมาเล่าให้ฟังถึงคุณค่าทางอาหาร รวมถึงงานวิจัยของชะพลูที่มีอยู่ในขณะนี้ สวัสดีค่ะ
จริงๆแล้วจากการทบทวนข้อมูลของชะพลู ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างจะเห็นว่าชะพลูเหมาะที่จะนำมาปรุงเป็นอาหารมากกว่ายา เพราะโดยตัวของชะพลูเองแล้วจะช่วยปรับธาตุของร่างกายให้ได้สมดุลดังนั้นการใช้ประโยชน์ในแง่ของการส่งเสริมสุขภาพจะมีประโยชน์มากกว่าการซ่อมสุขภาพเมื่อป่วยแล้ว แต่อีกมุมหนึ่งตัวชะพลูเองก็มีคุณค่าทางอาหารสูงอย่างคาดไม่ถึง
ในใบชะพลู 100 กรัม ให้พลังงานกับร่างกาย 101 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
-เส้นใย 4.6 กรัม
-แคลเซียม 601 มิลลิกรัม
-ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
-เหล็ก 7.6 มิลลิกรัม
-วิตามินบีหนึ่ง 0.13 มิลลิกรัม
-วิตามินบีสอง 0.11 มิลลิกรัม
-ไนอาซิน 3.4 มิลลิกรัม
-วิตามินซี 22 มิลลิกรัม
-โปรตีน 5.4 กรัม
-คาร์โบไฮเดรต 14.2 กรัม
-และให้เบต้า-แคโรทีนสูงถึง 414.45 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล
ภูมิปัญญาไทยแสนฉลาด โดยเฉพาะเรื่องการปรุงอาหาร ชะพลูมักถูกนำมาปรุงอาหารที่มีส่วนประกอบของกระทิ เพราะเบต้า-แคโรทีนในชะพลูต้องอาศัยไขมันในกระทิช่วยในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นโบราณยังเชื่อว่าชะพลูแก้พิษหอยได้ จึงมีแกงหอยใส่ใบชะพลูขึ้น
ในส่วนของงานวิจัยเป็นการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยศึกษาฤทธิ์การลดน้ำตาลในเลือดของสารสกัดชะพลู (ใช้น้ำสกัดเอาสารสำคัญของชะพลูทั้งต้น) โดยใช้หนูทดลอง ผู้ทดลองแบ่งหนูออกเป็น 2 กลุ่ม หนูกลุ่มแรกถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน หนูกลุ่มที่สองเป็นหนูปกติ แล้วฉีดสารสกัดของชะพลูเข้าไปในหนูทั้งสองกลุ่ม วัดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อฉีดเข้าไปครั้งแรกพบว่าสารสกัดชะพลูในขนาด 0.125 และ 0.25 กรัมต่อน้ำหนักของหนู 1 กิโลกรัม ไม่ช่วยลดระดับน้ำตาลของหนูกลุ่มที่เป็นเบาหวาน แต่เมื่อให้สารสกัดต่อไปอีก 7 วัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของหนูกลุ่มที่เป็นเบาหวานลดลง ซึ่งผู้ทดลองก็ได้นำยาแผนปัจจุบัน คือ ไกลเบนคลาไมด์ (Glibenclamide) มาทดสอบกับหนูทั้งสองกลุ่มเช่นกัน พบว่าได้ผลเช่นเดียวกับสารสกัดชะพลู
ใสส่วนตัวผู้เขียนจึงอยากแนะนำผู้ที่ต้องการใช้ชะพลูช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดว่า ต้องใช้ติดต่อกันจึงจะเห็นผล อีกทั้งการรับประทานในรูปของชาชงหรือปรุงเป็นอาหารจะได้ประโยชน์มากกว่า ไม่จำเป็นต้องไปหาผลิตภัณฑ์แพงๆ มาใช้ ปลูกชะพลูเองที่บ้านก็ได้ ขึ้นง่ายได้ประโยชน์คุ้มค่า
จากคอลัมภ์ "พืชใกล้ตัว" โดย ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 4 ฉบับที่ 39 ประจำเดือน กันยายน 2549
สาวร้อยผัว ม้าสามต๋อน รากสามสิบ ผักชีช้าง
สมุนไพรของแม่หญิง ที่ถูกลืม
ลูกสำรอง หรือ พุงทลาย
เป็นอาหารที่ดับร้อนใน ได้เร็วกว่าสมุนไพรตัวอื่น อาหารแก้ร้อนในหมายถึง อาหารอะไรที่กินเข้าไปแล้ว ดูดซับไขมันได้ จัดว่าเป็นอาหารแก้ร้อนใน
ลูกสำรองเป็นตัวดูดซับไขมันที่หน้าท้อง จึงเรียกอีกชื่อว่าพุงทลาย คือ พุงคนเราที่มีไขมันเกาะรอบๆสะดือ แล้วมีไขมันรุ่นใหม่เข้ามาก็จะเกาะติดเพิ่มเข้าไปอีก การกินสำรอง จะไปช่วยดูดซับไขมันอุ้มไขมัน เพื่อให้ขับถ่ายออกมา ถ้ากินตอนเช้าจะช่วยลดหน้าท้องได้
เวลาที่เหมาะแก่การกินลูกสำรอง
03.00 -ช่วยบำรุงปอดให้แข็งแรง
05.00 -ช่วยบำรุงลำไส้ใหญ่ให้บริหาร
07.00 -ช่วยรักษาและเคลือบกระเพาะอาหาร
09.00 -ช่วยให้ม้ามดูดซึมความชื้น ดูดซับไขมันในลำไส้และกระเพาะอาหาร กินเวลานี้ช่วยลดหน้าท้อง
บ่ายถึงเย็น -ช่วยบำรุงไตให้แข็งแรง และได้แพคตินไปสมานแผล
19.00 -กินคู่กับน้ำดอกคำฝอย ช่วยลดไขมันในเลือด
ก่อนนอน -ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีในตอนเช้า
จากหนังสือ กินเป็น ลืมป่วย ล้างพิษในร่างกาย
เพชรสังฆาต พิฆาตริดสีดวง
Cissus quadrangularis Linn.
VITACEAE
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน เผลอแป๊ปเดียวก็ย่างเข้าเดือนที่ 6 แล้วนะค่ะ อะไรที่คิดอยากจะทำก็รีบทำเสีย เดี๋ยวจะสิ้นปีเสียก่อน ส่วนฉบับนี้ผู้เขียนก็ต้องรีบทำหน้าที่ค่ะ คือการให้ข้อมูลข่าวสารด้านสมุนไพร ซึ่งในฉบับนี้ผู้เขียนจะขอให้ข้อมูลเรื่องเพชรสังฆาต เพราะมีผู้ให้ความสนใจถามกันเข้ามาเยอะมาก
ถ้าพูดถึงเพชรสังฆาตท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะทราบดีว่าเจ้าสมุนไพรตัวนี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในโรคริดสีดวงทวาร ปัจจุบันหลายโรงพยาบาลได้นำเพชรสังฆาตมาใช้ในผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบัน อย่างที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่ผู้เขียนทำงานอยู่ก็ไม่มีการใช้ยาแผนปัจจุบันในโรคนี้ มีแต่เพชรสังฆาตเท่านั้น ตอนที่ผู้เขียนมาทำงานครั้งแรกก็ยอมรับว่าไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของเพชรสังฆาตเหมือนกัน แต่พอได้ซักถามจากผู้ป่วยประกอบกับผลการวิจัยทางคลีนิกของเพชรสังฆาตในผู้ป่วยริดสีดวงทวารก็เพิ่มความมั่นใจมากขึ้น จนกระทั่งแนะนำให้บิดาของผู้เขียนเองซึ่งเป็นริดสีดวงทวารมานานหลายปีได้ใช้ ซึ่งก็ได้ผล ตอนนี้ผู้เขียนก็เลยแนะนำให้ผู้ป่วยริดสีดวงทวารหันมาใช้เพชรสังฆาตทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบัน
ก่อนที่เราจะรู้จักเพชรสังฆาตกันให้มากกว่านี้ ผู้เขียนขออภิบายเรื่องโรคริดสีดวงทวารให้ท่านทราบเสียก่อน โรคริดสีดวงทวารเป็นภาวะที่มีการอักเสบของเส้นเลือดดำที่ไส้ตรง จนทำให้เส้นเลือดบริเวณนี้โป่งหรือพองออกมา ซึ่งถ้าเป็นมากๆ จะเห็นเหมือนเป็นติ่งเนื้อโผล่ออกมาทางทวารหนัก ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บๆคันๆ ในระยะแรกและจะเพิ่มอาการเจ็บปวดมากขึ้น การโป่งของเส้นเลือดนี้จะทำให้เกิดการเสียดสีกับอุจจาระ ในที่สุดก็จะเกิดเป็นแผลและมีเลือดออกขณะเบ่งหรือถ่ายอุจจาระ
โรคริดสีดวงทวารนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ริดสีดวงทวารภายใน และ ริดสีดวงทวารภายนอก
-ริดสีดวงทวารภายใน (Internal Hemorrhoids) เกิดจากเส้นเลือดที่ใต้เยื่อบุผิวโป่งพองออก ริดสีดวงชนิดนี้จะไม่เจ็บปวดมาก เพราะที่ใต้เยื่อเมือกไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกปวด
-ริดสีดวงทวารภายนอก (External Hemorrhoids) เป็นริดสีดวงทวารอีกชนิดหนึ่งที่คนเป็นกันมาก ซึ่งจะมีการโป่งพองของเส้นเลือดที่ผิวหนังบริเวณรอบทวารหนัก ซึ่งริดสีดวงทวารอย่างหลังนี้ผู้ที่เป็นจะเจ็บมากเวลาที่มีการอักเสบ เพราะตรงบริเวณรอบทวารหนักจะมีเส้นประสาทรับความรู้สึกอยู่เต็มไปหมด
ส่วนระดับความรุนแรงและอาการของริดสีดวงทวารก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ คือ
-ขั้นแรก จะไม่มีก้อนหรือติ่งเนื้อโผล่ออกมาทางทวารหนัก แต่เวลาเบ่งอุจจาระแรงๆ หรือเวลาที่มีอาการท้องผูกจะมีเลือดไหลออกมาได้
-ขั้นที่สอง จะเริ่มมีก้อนริดสีดวงโผล่ออกมา แต่จะโผล่ออกมาเฉพาะเวลาที่มีการอักเสบหรือท้องผูกเท่านั้น ซึ่งก้อนเนื้อนี้จะสามารถดันกลับได้
ส่วนสาเหตุของริดสีดวงทวารนั้นก็เกิดมาจากท้องผูก การตั้งครรภ์ ซึ่งในกรณีของการตั้งครรภ์นี้โรคริดสีดวงทวาร จะหายได้เองเมื่อคลอดบุตรแล้ว ส่วนสาเหตุอื่นๆ ก็เช่น พันธุกรรมและความชรา แต่สาเหตุหลักๆ ก็เกิดจากพฤติกรรมที่ผิด โดยเฉพาะการถ่ายอุจจาระ บางคนปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรัง ไม่ชอบรับประทานผัก ผลไม้หรืออาหารที่มีเส้นใย ดื่มน้ำน้อย หรือชอบเบ่งแรงๆ เวลาถ่ายอุจจาระ เหล่านี้ก็ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดริดสีดวงทวาร แต่โชคร้ายโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาด เว้นแต่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการถ่ายอุจจาระ เชื่อไหมคะว่าถึงแม้ผู้ป่วยจะเข้ารับการผ่าตัดแล้วก็มีโอกาสจะกลับมาเป็นได้อีก น่าเสียดายจริงๆค่ะ พื้นที่บนหน้ากระดาษหมดแล้วฉบับหน้าจะนำผลการวิจัยของเพชรสังฆาตทั้งในและต่างประเทศมาเล่าให้ฟังค่ะ
จากคอลัมภ์ "พืชใกล้ตัว" โดย ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 3 ฉบับที่ 36 ประจำเดือน มิถุนายน 2549
ขิง บรรเทาอาการแน่น จุกเสียด ป้องกันผมร่วง
สมุนไพรอบเชยมีประโยชน์เพิ่ม ช่วยลดน้ำตาลของคนเบาหวาน
รายงานผลการศึกษาของนักวิจัยในมาเลเซียพบว่า สมุนไพรอบเชย น่าจะมีประโยชน์ ในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานลงได้ โมฮัมหมัด โรจี หนึ่งในคณะวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมาเลเซีย กล่าวว่า นักสมุนไพรทั่วโลกใช้อบเชยในการรักษาโรคท้องร่วงและข้ออักเสบ เพราะมีคุณสมบัติช่วยการไหลเวียนของกระแสเลือด สมานแผล รักษาหนอง และภูมิแพ้
นอกจากนี้ ผลการทดลองในห้องทดลองปฏิบัติการตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าสารสกัดอบเชยเมื่ออยู่ในเซลล์สามารถทำงานเลียนแบบอินซูลินได้ หนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ในมาเลเซีย รายงานว่า จากการศึกษามานาน 3 ปีของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมาเลเซียพบว่า เครื่องเทศชนิดนี้ให้ผลดีต่อการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นเบาหวานชนิดที่ร่างกายผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพออีกด้วย สำหรับอินซูลินนั้น ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด เซลล์ของคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 จะสูญเสียความสามารถในการตอบสนองต่อฮอร์โมนชนิดนี้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ปัจจุบันประเทศกำลังพัฒนา ในเอเชียประสบปัญหาคนเป็นเบาหวานเพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลจากการดำเนินชีวิตที่กินอาหารไม่เป็นประโยชน์และเป็นโรคอ้วน.
*** จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 10 มกราคม 2549 ***
"ว่านชักมดลูก" กับ ข้อมูลใหม่น่ารู้
วิจัยข่า...ใช้ต้านผิวหนังสัตว์ พัฒนาตำราโบราณ คุณสมบัติออกมาดี..
สุขภาพสัตว์...เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ผู้เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นภาคปศุสัตว์ที่เลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ หรือว่าสัตว์ที่น่ารักสำหรับผู้รักสัตว์... โดยเฉพาะเกี่ยวกับโรคผิวหนังซึ่งมีอิทธิพลต่อราคาซื้อขายสัตว์
นักวิชาการที่เกี่ยวข้องจึงได้หาวิธีที่จะทำให้สัตว์เลี้ยงทั้งหลายปลอดจากโรคผิวหนัง ซึ่งก็มี ผศ.การันต์ ชีพนุรัตน์ และอาจารย์ไฉน น้อยแสง 2 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี วิทยาเขตปทุมธานี จึงได้นำเอาข่าอันเป็นทั้งอาหาร และสมุนไพรเป็นวัตถุดิบในการต้านเชื้อแบคทีเรียทำให้ เกิดโรคผิวหนังในสัตว์ได้เป็นผลสำเร็จ
เจ้าของงานวิจัย บอกว่า...งานวิจัยเกี่ยวกับโรคผิวหนังสัตว์ ได้มุ่งถึงประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียในสัตว์ เพราะโรคผิวหนังอักเสบในสัตว์ที่เกิดจากแบคทีเรียส่วนมากเกิดจากกลุ่ม Staphylococcus spp และมีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะน้อย...
โดยเฉพาะ กลุ่ม ยาเพนนิซิลิน ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นสารเคมี อันจะเป็นอันตรายต่อสัตว์ซึ่งทำให้เกิดการแพ้ยาได้ และหากมีการใช้ยาเป็นระยะเวลานานๆแล้วยังเกิดปัญหาการดื้อยา และยาเหล่านี้จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ทำให้ต้องเปลี่ยนยาตัวอื่นซึ่งมีผลการรักษาดีกว่า...หรือต้องเพิ่มปริมาณ ตัวยาเดิมให้มากขึ้น หรือใช้ระยะเวลาในการรักษานานขึ้น
ด้วยเหตุผลนี้เองจึงได้หันมาวิจัยประสิทธิภาพของ ข่าจากตำรับยาไทยแผนโบราณที่เข้าเครื่องยารักษาผิวหนังอักเสบจากแบคทีเรีย และโรคผิวหนังจากเชื้อรา เอามาเป็นต้นแบบในการทำวิจัย
ขั้นตอนการวิจัยนี้ได้สกัดสาร ละลายชนิดต่างๆเพื่อที่จะทราบว่า ชนิดใดจะมีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococusaureus, Pseudomonas aeruginosa และ Escherichia coli จึงได้ นำสารละลาย 4 ชนิด คือ เฮกเซน, โคลโรฟอร์ม, เอทิลอะซิเตท และเมทานอล ที่ระดับความเข้มข้น 160 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร โดยวิธี Agar well diffusion มาทดลองทำลายและสกัดการเจริญเติบโตของเชื้อดังกล่าว
ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า สารสกัดข่าที่สกัดด้วยตัวทำ ละลายโคลโรฟอร์ม และ เอทิลอะซิเตท มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียทั้ง 3 ชนิด...ได้ดีกว่าสารสกัดข่าที่สกัดด้วยตัวทำละลายเฮกเซน และเมทานอล
ผู้วิจัยกล่าวเพิ่มเติมว่า...ในการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเบื้องต้นเพื่อให้ทราบถึง ประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียในผิวหนังสัตว์เท่านั้น ส่วนการพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ ยังอยู่ในขั้นศึกษา...คาดว่าอีกไม่นานเราน่าจะมียาต้านเชื้อแบคทีเรียจาก ข่า ที่มาจากสวนของเกษตรกรไทยอย่างแน่นอน...!!!
ไชยรัตน์ ส้มฉุน
**ข่าวการเกษตร จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ปีที่ 57 ฉบับที่ 17615 วันศุกร์ ที่ 14 เมษายน 2549 **
เพาะมะเขือเทศต้านมะเร็งขายแล้วหลบมะเร็งต่อมลูกหมากได้ครึ่งตัว
ซุปเปอร์มาร์เกตยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ได้นำมะเขือเทศซึ่งถูกเรียกว่า ยอดมะเขือเทศ เพราะมีสารซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งบางชนิด อยู่ในตัวมากเป็นพิเศษ ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก
ห้างซุปเปอร์มาร์เกตทาสโกอ้างว่า มะเขือเทศพันธุ์วิเศษ ซึ่งเกิดจากการผสมพันธุ์โดยธรรมชาติ มี ปริมาณของสารไลโคเพน มากกว่าธรรมดาถึงสองเท่า สารนี้เชื่อกันว่าช่วยบรรเทาความเสียหายของเซลล์ในร่างกาย และเป็นสารที่ทำให้มะเขือเทศเกิดสีแดง
เป็นที่ทราบกันดีว่า มะเขือเทศมีส่วนในการลดความเสี่ยงของการป่วยเป็นมะเร็ง ของต่อมลูกหมาก ทรวงอก ลำไส้ใหญ่และไส้ตรง
ในการศึกษากับผู้ชายเรือนพันได้ผลว่า หากกินมะเขือเทศหรือซอสมะเขือเทศ อาทิตย์ละ 10 มื้อหรือมากกว่านั้น จะขจัดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ให้น้อยลงไปได้ 45%
ผู้จัดการฝ่ายเทคนิคการผลิต นายเอียน รีด คุยว่า มะเขือเทศพันธุ์วิเศษ ถือเป็นสินค้าชนิดแรกของสายอาหารเสริมสุขภาพที่ผลิตขึ้น และเสริมว่า อาหารเสริมสุขภาพอย่างมะเขือเทศที่มีสารไลโคเพนสูงโดยธรรมชาติ ไม่แต่เพียงสูงกว่ามาตรฐานปกติเท่านั้น หากยังมีรสชาติดีอีกด้วย.
*** ข่าววิทยาการ ปีที่ 57 ฉบับที่ 17615 วันศุกร์ ที่ 14 เมษายน 2549 ***
โลดทะนงแดง
Cissus quadrangularis Linn. Trigonstemon reidioides (Kurz) Craib
(นางแซ่ง นางพญาหน้าขาว สมุนไพรแก้ฝ้า)
จากการที่มีข่าวครึกโครมในกรณีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ที่มีอาการแพ้ผงขัดหน้าสมุนไพร จนหน้าพังโดยสุภาพสตรีท่านนี้ไปซื้อ package การ treatment เพราะมีความเชื่อว่าสมุนไพรปลอดภัย ซึ่งได้สมุนไพรเป็นชุดไป ชุดแรกคือการขัดหน้าเพื่อให้หน้าลอกและอีกชุดหนึ่งคือชุดบำรุง จะมีส่วนผสมประเภทขมิ้นชันและสมุนไพรบำรุงอื่นๆ สุภาพสตรีท่านนี้ต้องหน้าพังเพราะผู้ให้บริการไม่มีความรู้ว่าสมุนไพรที่ใช้กับลูกค้ามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ทำให้นึกถึงตอนที่ไปเดินป่าที่เลิงนกทา พ่อหมอได้พูดถึงโลดทะนงแดง ซึ่งเป็นสมุนไพรแก้พิษ คนสมัยก่อนนิยมใช้เป็นยา ฝนให้ผู้ป่วยกินเพื่อทำให้อาเจียน เป็นการกำจัดพิษ อาจจะเป็นยาพิษ ยาสั่ง หรือพิษงู พิษแมงมุม พิษจากแมลงกัดสัตว์ต่อยอื่นๆ ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลกาบเชิงได้มีการทดลองใช้ในการแก้พิษงูมาแล้ว นอกจากจะใช้เป็นยาแก้พิษแล้วพ่อหมอยังเล่าให้ฟังว่าโลดทะนงแดงนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า "นางแช่ง" หรือบางทีก็เรียก "นางพญาหน้าขาว" ซึ่งสาวๆสมัยก่อนจะใช้ฝนทาหน้า โดยฝนกับน้ำหรือเหล้าก็ได้ หรือจะบดเป็นผงผสมแป้งทาหน้า ทาได้แต่ต้องใช้ปริมาณนิดเดียว คนสมัยก่อนเขารู้ขนาดของการใช้อย่างดี แม้จะใช้นิดเดียวยังทำให้หน้าแดงเป่ง มีอาการแสบๆ คันๆ และหน้าลอก ที่มาของชื่อ "นางแซ่ง" คือ "นางแช่ง" จากการที่เจ้าสมุนไพรชนิดนี้ ที่ทำให้หน้าบวมแดง นางจึงแช่งเสียเลย ("แซ่ง" มาจากคำว่า "แช่ง" ในภาษาอิสาน เสียง ช ในภาษาไทยจะออกเป็น ซ)
ดังนั้นเพื่อลดอาการบวม แดง อักเสบ ที่เกิดขึ้นจึงมักจะใช้ไข่หมกไฟบดผสมลงไปด้วยหรือใช้ขมิ้นฝนทา หลังจากที่หน้าบวมแดง เมื่อผิวหน้าหายอักเสบแล้วผิวหน้าจะขาวขึ้น แต่ผู้เขียนไม่กล้าใช้ พอได้ทราบข่าวที่มีคนหน้าพังเพราะสมุนไพร จึงคิดว่า สมุนไพรบางตัวควรมีการควบคุมการใช้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะ"โลดทะนงแดง" ซึ่งมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรจะนำ โลดทะนงแดงไปให้ประชาชนรู้จักในงาน "มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 3" วันที่ 30 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน 2549 ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี อาคาร 7-8
จากคอลัมภ์ "เก็บป่ามาฝากเมือง" โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 3 ฉบับที่ 36 ประจำเดือน มิถุนายน 2549
เจลล้างหน้าแตงกวา
เพื่อรักษาความเป็นธรรมชาติของผิวหน้า
หลังจากที่ครีมแตงกวาได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเนื่องจากสามารถใช้ได้ทั้งผู้ที่มีผิวหน้ามันและผิวหน้าแห้ง ทำให้มีผู้เรียกร้อง ให้ผลิตผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ผสมสมุนไพรแตงกวาอย่างกว้างขวาง และ ด้วยเห็นว่าผลิตภัณฑ์ล้างหน้าในท้องตลาดส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นสบู่เหลวล้างหน้า เจลล้างหน้า แม้กระทั่งครีมล้างหน้า มักจะมีสารชะล้างมากเกินไปได้เช่นกัน ซึ่งจะมีผลทำให้หน้าแห้ง เกิดรอยย่นได้ง่าย แก่ง่าย เกิดอาการระคายเคือง บางรายอาจจะทำให้เกิดสิวขึ้นได้ ซึ่งเวลาใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องระวังให้มาก
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทางเราจึงคิดว่าน่าจะมีเจลล้างหน้าที่มีคุณสมบัติไม่ระคายเคือง มีสรรพคุณถนอมผิวพรรณ ใช้ได้กับทุกสภาพผิวโดยเฉพาะผิวที่ล่วงเลยวัยสี่สิบ (อย่างคนคิดสูตรตำรับ) และก็เห็นว่ามีการผสมผสานสกัดแตงกวาใส่ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างกว้างขวางทั่วโลกเนื่องจากแตงกวามีสรรพคุณ ลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง แก้แพ้ ทำให้ผิวหน้าเรียบลื่น บำรุงผิวพรรณ จึงพัฒนา "เจลล้างหน้าแตงกวา" ขึ้นมา ซึ่งต้องคอยชี้แจงกับผู้ที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบเดิมๆ ที่มีฟองมากๆ อยู่เสมอว่าทำไมเจลล้างหน้าแตงกวาไม่ค่อยมีฟอง ก็คือว่า "เราตั้งใจไม่ให้มีฟองมากนักและไม่มีการระคายเคือง" ซึ่งได้ส่งผลิตภัณฑ์เจลล้างหน้าแตงกวาไปทดสอบการระคายเคืองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า "ไม่ระคายเคือง" เจลล้างหน้าแตงกวาจึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการรบกวนความเป็นธรรมชาติของผิวหน้ามากนัก ความเป็นธรรมชาติมันจะดูแลความสมดุลย์ด้วยตัวมันเองซึ่งมีสุภาพสตรีที่อายุมากท่านหนึ่งบอกว่าในตอนเช้าไม่มีอะไรทำให้สกปรกแม้ทาครีมก่อนนอน ครีมทาผิวหน้าส่วนใหญ่ล้างออกโดยง่ายด้วยน้ำอยู่แล้ว สำหรับท่านที่ขยันล้างหน้ามากเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีความสามารถในการกำจัดคราบมันสูงๆ บางครั้งก็เป็นการทำร้ายผิวหน้าได้เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดไม่ได้เหมาะกับทุกคน ถ้าท่านใช้ผลิตภัณฑ์อะไรแล้วพบอาการผิดปกติต้องหยุดใช้ทันที ไม่ว่าราคามันจะสูงสักแค่ไหนก็ต้องรับตัดใจ
สิ่งที่เราภูมิใจในผลิตภัณฑ์เจลล้างหน้าแตงกวา นอกจากการ "ไม่ระคายเคือง" แล้ว "เจลแตงกวายังอยู่ในหลอดสวย" สามารถเอาไปล้างหน้านอกบ้านได้อย่างไม่อายใคร
จากคอลัมภ์ "ก้าวย่าง" โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 3 ฉบับที่ 36 ประจำเดือน มิถุนายน 2549
ทานแป๊ะก๊วยเป็นประจำ มีแขนขาอ่อนแรง
ถาม : อายุ 71 ปี เป็นคนขี้ลืม รับประทานแป๊ะก๊วยเป็นประจำ มีแขนขาอ่อนแรง เข้ารับการบำบัดก็ไม่หาย ไม่ทราบว่าจะมีวิธีการรักษาอาการอ่อนแรง และ ขี้ลืมอย่างไร
ตอบ : สมุนไพรที่ใช้ในเรื่องของการบำรุงความจำนอกจากแป๊ะก๊วยแล้วยังสามารถใช้บัวบกได้ด้วย ซึ่งทั้งแป๊ะก๊วยและบัวบกเป็นยาเย็นด้วยกันทั้งคู่ รับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ร่างกายเย็น ซึ่งอาการที่แสดงให้เห็น เช่น แขนขาอ่อนแรง ความดันโลหิตต่ำ ซึ่งสามารถแก้ได้ด้วยการหยุดรับประทานสัก 1-2 เดือน แล้วค่อยกลับมาทานใหม่หรือจะใช้บัวบกรับประทานควบคู่กับพรักไทยในอัตราส่วน 1:1 ก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องร่างกายเย็นได้ อนึ่งอายุของผู้ถามที่มากแล้ว (71 ปี) ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ลืมได้ง่าย
จากคอลัมภ์ "ข้องใจไถ่ถาม" โดย ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 4 ฉบับที่ 37 ประจำเดือน กรกฏาคม 2549
มังคุด
จากของเหลือใช้ทางการเกษตร มาเป็นยาและเครื่องสำอาง ที่ทั่วโลกยอมรับ
ในปี พ.ศ. 2543 เป็นระยะแรกๆ ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร หลังจากที่มีวิกฤตการณ์ทางการเงินการคลังของประเทศ ในปี พ.ศ. 2540-2541 ทางโรงพยาบาลได้รับการผลักดันจากรัฐบาลให้มีส่วนร่วมในการสร้างเศรษฐกิจให้ชุมชน และหาเม็ดเงินเข้าประเทศ ซึ่งรัฐมนตรีสาธารณสุขในขณะนั้นคือ ฯพณฯ รัฐมนตรี กร ทัพพะรังสี ได้ให้การสนับสนุน ในเชิงนโยบายการพัฒนาของโรงพยาบาล คือ การทำให้สมุนไพรอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน ทำให้ภูมิปัญญาในอดีตได้มีการใช้ได้จริงและในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทางเครื่องสำอางนั้น "เปลือกมังคุด" เป็นสมุนไพรอันดับที่สองรองจากขมิ้นที่จะถูกนำมาพัฒนาขึ้นเป็นเครื่องสำอาง
จากการที่เปลือกมังคุดมีฤทธิ์แอนตี้อ๊อกซิแด้นซ์ที่ช่วยในการชะลอความแก่ ป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากสารพิษ ลดการเกิดฝ้า มีฤทธิ์ลดการอักเสบของเซลล์ เป็นการถนอมผิวพรรณ ทั้งยังมีฤทธิ์ฝาดสมานช่วยทำให้ผิวหนังเรียบลื่น กระชับรูขุมขน
ผลิตภัณฑ์สมุนไพรตัวแรกที่ผสมเปลือกมังคุด คือสบู่ก้อนเปลือกมังคุด ซึ่งสบู่เปลือกมังคุดนี้ทำให้เกิดปรากฎการณ์ใหม่ คือ มีคณะทัวร์ จากประเทศญี่ปุ่นมาแวะที่โรงพยาบาลพญาไท เพื่อซื้อสบู่เปลือกมังคุดของอภัยภูเบศร มีการขนสบู่เปลือกมังคุดเข้าประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งสบู่ขมิ้น สบู่ลูกยอ และสบู่รำข้าว ซึ่งนิยมรองๆ ลงไปจนรัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับมีการจำกัดปริมาณการนำสบู่ก้อนเข้าประเทศจาก 150 ก้อนต่อคน เหลือเพียงไม่เกิน 70 ก้อนต่อคน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 24 ก้อน ต่อคน
จนถึง ณ วันนี้สบู่ก้อนตัวแรก (พร้อมๆ กับขมิ้น) ก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์ขายดี ครองแชมป์อันดับหนึ่งติดต่อกันมาอย่างยาวนานหลายเดือนแล้ว
"อย่างนี้จะไม่ให้ชาวอถัยภูเบศรภูมิใจได้อย่างไร"
จากคอลัมภ์ "ก้าวย่าง" โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 4 ฉบับที่ 37 ประจำเดือน กรกฎาคม 2549
สบู่เหลวเปลือกมังคุด ถนอมผิว
จากการที่สบู่ก้อนเปลือกมังคุดได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเกินเขตของประเทศไทย ยอดขายสบู่เปลือกมังคุดของอภัยภูเบศรไม่เคยลดแถมยังติดอันดับหนึ่งติดต่อกันมาหลายเดือน ประสบการณ์ที่เราได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับการใช้สบู่ก้อนเปลือกมังคุดมีมากมาย อาทิ ใช้อาบน้ำแล้วกลิ่นตัวน้อยลง สิวตามตัวยุบ บางคนบอกเอาไปล้างหน้าแล้วฝ้าลดลง แต่ก็มีบางคนเอาไปล้างหน้าแล้วหน้าแห้งมากไป (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใช้ฟอกโดยตรงหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะใช้สบู่อะไร ถ้าใช้ฟอกโดยตรง จะทำให้มีการชะล้างความมันออกจากผิวได้ ผิวจึงแห้ง) เลยมีกองเชียร์ให้ทำสบู่เหลวเปลือกมังคุด สำหรับท่านที่ไม่อยากใช้สบู่ก้อน เพราะการใช้สบู่ควรเป็นของใช้เฉพาะบุคคล การใช้สบู่เหลวในแต่ละครั้งจะเป็นสัดส่วนของใครของคนนั้น ดังนั้นทางเราจึงตัดสินใจพัฒนาสบู่เหลวเปลือกมังคุดขึ้นมา ซึ่งเป็นการพัฒนาพร้อมกับสบู่แตงกวา (ในตอนนั้นเรามีสบู่เหลวขมิ้นชันอยู่แล้ว) ซึ่งเราต้องมาคิดว่าจะอธิบายความแตกต่างของสบู่เหลวทั้งสามแบบนั้นอย่างไรให้กับผู้บริโภค
แตงกวามีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นเหมาะกับคนที่ผิวแห้ง ส่วนขมิ้นชันและมังคุดต่างก็มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แก้แพ้ด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาของผิวพรรณ ชะลอความชรา แต่ที่แตกต่างกันคือมังคุดจะมีฤทธิ์ฝาดสมานมากกว่า มังคุดจึงเหมาะกับคนที่มีผิวมันมากกว่าขมิ้น
สบู่เปลือกมังคุดและแตงกวา จึงถูกออกแบบให้แตกต่างจากสบู่เหลวขมิ้นชัน คือใช้สารที่มีฟองน้อยกว่า เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ทำให้เป็นสบู่ที่อ่อนกว่าสบู่เหลวขมิ้น และเน้นที่กลิ่นที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่รสนิยม โดยเภสัชกรวัจนา สุจีรพงศ์สิน ที่อุตส่าห์ไปเรียนต่ออโรมาเธอราปีส์ที่ออสเตรเลียเป็นผู้แต่งกลิ่น สบู่เหลวเปลือกมังคุดอาจจะฟองน้อย บางคนอาจไม่ชอบแต่คุณสมบัติอื่นๆ ของมังคุดยังคงอยู่ ผลดีของสบู่เหลวเปลือกมังคุดยังได้รับการบอกเล่ามาให้ฟังเสมอ แต่บางครั้งก็มาพร้อมกับข้อแนะนำว่าควรพัฒนาสบู่เหลวรุ่นต่อๆ มาที่มีความหนืดมากขึ้น ซึ่งทางเราได้ปรับปรุงขึ้นมาจนได้ความหนืดที่เป็นที่พอใจของลูกค้า ถึงแม้การตอบรับสบู่เหลวเปลือกมังคุดจะดีมาก แต่ปรากฎว่าสบู่เหลวขมิ้นชันก็ไม่ได้ลดความนิยมลง "รสนิยม" ของผู้บริโภคจึงนำไปสู่ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ได้เสมอ
จากคอลัมภ์ "ก้าวย่าง" โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 4 ฉบับที่ 39 ประจำเดือน กันยายน 2549
โคกกระออม
สมุนไพรบรรเทาการอักเสบ รูมาตอยด์ และไล่แมงหวี่
มีครั้งหนึ่งที่เดินป่าขึ้นเขาสมอปูน ตรงกิโลเมตรที่ 24 เลยน้ำตกเหวนรกไปเล็กน้อย ระหว่างทางเห็นไม้เลื้อย ใบเหมือนใบเมเปิ้ล ลูกเป็นบอลลูน รูปหัวใจ พ่อแม่บอกว่ามันเป็นผักเรียก "หมากวิวี" ชื่อมันแปลกมาก เพราะมันไล่แมงหวี่ได้ ถ้าเด็กตาแดงตาแฉะจะมีแมงหวี่คอยมาตอมตา เขาจะใช้ทั้งเถาทั้งใบมาพันรอบหัวเด็กเพื่อไล่แมงหวี่ไม่ให้มาตอมตาเด็ก ส่วนพ่อประกาศจะเรียก "สะไล่น้ำ" เพราะชอบขึ้นชายน้ำนั่นเอง ท่านทั้งสองบอกว่าโคกกระออมเป็นผักที่มีรสขมสามารถรับประทานสดๆ หรือเผาไปรับประทานเพื่อลดความขม ส่วนสรรพคุณทางยาที่หมอยาใช้เด่นๆ คือ ใช้ทั้งต้นต้มกินเป็นยาแก้ไข้ แก้ร้อนใน ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขุ่นแดง ใช้ตำเคี่ยวกับน้ำมันเพื่อทาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการอักเสบ จากไขข้ออักเสบ แก้ปวดข้อในผู้ป่วยรูมาตอยด์ ใช้ตำกับเกลือเพื่อนวดคลึงในรายที่เกิดอาการกระดูกทับเส้น (Spinal Compression) นอกจากนี้สมัยก่อนถ้าใครมีรังแคเขาจะทุบเถาของโคกกระออมคั้นแช่น้ำพอข้นๆ แล้วนำมาชะโลมศรีษะ ทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออกเพื่อกำจัดรังแค ที่น่าประหลาดใจก็คือจากการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของโคกกระออม พบว่าโคกกระออมมีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์แก้ปวด จึงสนับสนุนการใช้ แก้ไขข้ออักเสบ แก้ปวดข้อ โคกกระออมยังมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ นอกจากนี้แล้วยังมีฤทธิ์ในการฆ่าแมลง และ ล่อแมลง รวมทั้งเป็นผักที่มีสารต้านอ๊อกซิเดชั่นที่ชะลอความแก่ ต้านมะเร็ง จึงรู้สึกทึ่งเจ้าสมุนไพรสวยงามต้นนี้จริงๆ ปลูกเป็นไม้ประดับก็สวย เป็นผักบำรุงสุขภาพก็ได้ (แต่ขมสักหน่อย แต่เดี๋ยวก็ชินน่า เพื่อสุขภาพ) ทั้งยังมีสรรพคุณทางยามากมาย
จากคอลัมภ์ "เก็บป่ามาฝากเมือง" โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
ของวารสาร "อภัยภูเบศรสาร" ปีที่ 4 ฉบับที่ 37 ประจำเดือน กรกฎาคม 2549
กินสลัดและผักดิบได้คุณทันตาเห็น เลือดข้นด้วยสารอาหารหลายอย่าง
|
นักวิจัยของศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยหลุยเซียนา สเตท ผู้ทำการศึกษายังได้พบว่า แม้แต่การบริโภคผักดิบวันละ 1 มื้อ ก็ยังได้ปริมาณของวิตามิน เอ อี บี 6 และกรดโฟลิกสูงเกือบเท่าคำแนะนำ ยิ่งผู้ที่กินสลัดและผักดิบมากขึ้น ก็จะยิ่งมีระดับของวิตามินซีและอี กรดโฟลิกและสารคาโรทีนอยด์ อันเป็นสารป้องกันความเสื่อมของร่างกาย ที่ทำให้ผักและผลไม้หลายชนิดมีสีเหลือง สีส้ม และสีแดงสูงขึ้น
การศึกษาได้ทำโดยสำรวจจากคนอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่เกือบ 18,000 คน พบว่าเป็นผู้ชอบกินสลัดมากระหว่าง 18-38% เท่านั้น แต่เมื่อคิดโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่นิยมกินสลัดและผักดิบ จะมีระดับของสารอาหารในเลือดสูงกว่าผู้ที่ไม่ชอบกินผักดิบถึง 15%.
|
จากคอลัมภ์ "ข่าววิทยาการ" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ปีที่ 57 ฉบับที่ 17783 วันศุกร์ ที่ 29 กันยายน 2549 |
